ผมมีลูกสองคน คนโตตอนนี้อายุ 18 ปี คนเล็กอายุ 6 ปี เพื่อนหลายคนที่เจอกันส่วนใหญ่ไม่รู้ว่าผมมีลูกคนโตอีกหนึ่งคน เพราะเห็นแต่คนเล็กที่ไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด คาแร็คเตอร์ลูกทั้งสองต่างกันบ้าง อาจเพราะเกิดต่างยุคสมัยไปนิด คงไม่ต้องถามเรื่องความรักต่อลูก ทุกคนที่เป็นพ่อเป็นแม่คงรู้ดีถึงอารมณ์นี้
ถามว่า..ทำไมลูกสองคน แต่อายุจึงห่างกันถึง 12 ปี เราไม่ได้คุมกำเนิด บางสิ่งบางอย่างจะอธิบายไม่ได้เหมือนกัน คนที่อยากได้ ไม่ได้สักที คนที่ไม่อยากได้ แต่มาต้นปีท้ายปีก็ถมไป
ลูกคนโตเป็นลูกสาว กำลังเรียนชั้นปีที่ 1 ระดับปริญญาตรี สถาบันพระบรมราชชนก วทก. จังหวัดนนทบุรี เราไม่เคยห่างกันไกลถึงขนาดนี้มาก่อน แต่ด้วยเทคโนโลยีปัจจุบันเราได้พูดคุยกันตลอดเกือบทุกวัน การเรียนก็หนักบ้างเบาบ้างตามรายวิชา เป็นช่วงเวลาปรับตัว ก่อนหน้าที่เรียนมัธยมก็ไม่เป็นกังวลอะไรมากมาย แต่ระดับมหาลัยแล้วเป็นการเรียนที่เฉพาะเจาะจงตามสายงานซึ่งต้องศึกษาพัฒนากันต่อไป พ่อเชื่อว่าลูกทำได้ สู้ๆนะลูกรัก
เชื่อว่ากำลังใจเป็นแรกผลักดังทุกสิ่งให้ง่ายดาย ความตั้งใจและตั้งเจตนาเป็นสิ่งที่สำคัญ มุ่งสู่เป้าหมายที่ตั้งไว้และทุกอย่างที่ต้องการจะสำเร็จได้แน่นอน จำไว้นะลูก
ส่วนลูกคนเล็ก เรียนอยู่ชั้น ป.1 โรงเรียนอนุบาลปัตตานี คนนี้อยู่ด้วยกันตลอดเวลา นิสัยก็เช่นเด็กทั่วๆไป แต่มีความสามารถพิเศษคือ พูดภาษาอังกฤษได้ สามารถติดตามเพจลูกชายได้ที่ ChakirSoGood ทุกคนมักถามว่าไปเรียนมาจากไหนมาถึงได้พูดภาษาอังกฤษได้ ผมเข้าใจว่าการที่เด็กคนหนึ่งจะมีทักษะอะไรบางอย่าง ขึ้นอยู่กับว่าการได้รับตามธรรมชาติการเรียนรู้ เช่นทักษะทางด้านภาษาก็เช่นเดียวกัน ฟัง พูด อ่าน เขียน เป็นทักษะการศึกษาตามลำดับ อยากให้เป็นภาษาอะไรให้ฟังภาษานั้นให้บ่อยๆ แล้วขั้นต่อไปเขาจะพูดภาษาที่ฟังได้อย่างสบายๆ อย่าเพิ่งให้เขาเขียนหรืออ่านก่อน เพราะถึงแม้ว่าฝึกให้เขาเขียนจนเป็นหรืออ่านได้ แต่ผลสุดท้ายแล้วเขาจะพูดไม่ได้ หรือไม่กล้าพูด ลองนึกถึงเราตอนเป็นผู้ใหญ่แล้ว บางคนอ่านได้ เขียนพอเป็น แต่พอเจอฝรั่งทักมา พูดไม่ออกซะงั้น อิอิ
แอบมาให้กำลังใจลูกตรงนี้ ขอเก็บความรู้สึกดีดีเล่าเรื่องระหว่างทาง เผื่อว่าสักวันหนึ่งเมื่อลูกเติบใหญ่เรียนจบ มีงานทำทีดี ถึงจุดนั้น ย้อนมองอดีตที่เคยเกิดขึ้น จากวันนั้นถึงวันนี้มีอะไรที่เปลี่ยนแปลงบ้างลูกจะรู้ดี บางอย่างอาจจะบรรยายได้เป็นบทความผ่านตัวหนังสือได้ แต่บางทีทุกสิ่งจะอธิบายเป็นบทความแบบนี้ไม่ได้เลย
เมื่อลูกยังเล็กอยู่ พ่อได้หอมกอดทุกคืน ก่อนนอนเสมอ คนโตกับคนเล็กไม่ต่างกันเลย แถมต้องเกาหลังให้ด้วยไม่งั้นนอนไม่หลับ นอนบนอก หัวซกบนไหล่ ทั้งคืน มีบางครั้งพ่อตื่นขึ้นมาปวดแขนชาสองสามวัน เป็นเรื่องปกติธรรมดา ลองย้อนมองเมื่อเรายังเด็กเรามีก็พ่อแม่ช่วยผลักดันดูแล ซึ่งตอนนั้นท่านจะอธิบายความรู้สึกผ่านการเล่าเรื่องด้วยบทความแบบนี้ได้คงน้อยนัก แต่เชื่อเหลือเกินว่าความรู้สึกนั้นเขาได้แสดงต่อลูก อย่างที่เราได้รู้สึก ณ ตอนนี้อย่างแน่นอน
ความรัก ความเหนื่อย ความรู้สึกดีต่อลูก เมื่อเรามีลูกเราจึงได้รู้ถึงความรู้สึกนี้ การเลี้ยงลูกเป็นการส่งต่อมรดกกรรมอย่างแท้จริง ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นสัจธรรม ยิ่งเราทำดีกับพ่อแม่แล้ว ผลการกระทำของเราเชื่อว่าลูกของเราต้องทำดีกับเราเช่นเดียวกัน บางคนอาจมีปัญหาทางครอบครัว ครอบครัวแตกแยกลูกก็แตกแยกด้วยเช่นกัน เมื่อนั้นแหล่ะมรดกกรรมจะตกถึงลูกหรือหวนกลับมาหาตัวเองเมื่อยามแก่ชรา
เพราะฉะนั้น "เรื่องของลูก คือ เรื่องของเรา" เท่ากันไม่เปลี่ยนไปกันไปเลย
ขอให้ทุกคนทำบทบาทหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด ณ ตอนนี้ และอนาคตจะดีหรือแย่ เชื่อว่าผลจากการกระทำแล้วทั้งสิ้น
บทความจากลูกคนหนึ่งปัจจุบันเป็นพ่อ #พักระหว่างทาง
********************************************************************
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น